ซิฟิลิส ในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพเข้าถึงง่ายขึ้น แม้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิดจะถูกพูดถึงมากขึ้น แต่ "ซิฟิลิส" ยังคงเป็นหนึ่งในโรคที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยหรือละเลยความสำคัญ ทั้งที่เป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงชีวิตได้
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซิฟิลิสอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการในระยะต่างๆ ไปจนถึงวิธีการรักษาและการป้องกันที่สำคัญ เพื่อให้คุณสามารถดูแลตนเองและคนที่คุณรักจากภัยเงียบนี้
ซิฟิลิสคืออะไร?
ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infection: STI) ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Treponema pallidum เชื้อชนิดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการสัมผัสกับแผลหรือผื่นของผู้ติดเชื้อขณะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก นอกจากนี้ เชื้อซิฟิลิสยังสามารถแพร่จากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรได้ ซึ่งเรียกว่า "ซิฟิลิสแต่กำเนิด" (Congenital Syphilis)
ระยะของโรคซิฟิลิสและอาการที่ปรากฏ
มีลักษณะการดำเนินของโรคเป็นระยะๆ ซึ่งแต่ละระยะจะมีอาการที่แตกต่างกันไป หากไม่ได้รับการรักษาในระยะแรกๆ โรคจะดำเนินเข้าสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น
ซิฟิลิสระยะที่ 1 (Primary Syphilis)
◼︎ อาการ : ประมาณ 10-90 วัน (โดยเฉลี่ย 3 สัปดาห์) หลังได้รับเชื้อ จะปรากฏ "แผลริมแข็ง" (Chancre) ซึ่งเป็นแผลขนาดเล็ก รูปกลมหรือรี ขอบยกนูน พื้นแผลสะอาด ไม่เจ็บ และมักจะเป็นแผลเดียว
◼︎ ตำแหน่ง : พบได้บ่อยที่อวัยวะเพศ (องคชาต ช่องคลอด ปากมดลูก) ทวารหนัก หรือปาก
◼︎ ข้อสังเกต : แผลจะหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายและโรคจะดำเนินต่อไป หากไม่ได้รับการรักษาด้วยยา
ซิฟิลิสระยะที่ 2 (Secondary Syphilis)
◼︎ อาการ : ประมาณ 2-10 สัปดาห์หลังจากแผลริมแข็งหายไป อาจมีอาการหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันหรือแยกกัน
◼︎ ผื่น : มักเป็นผื่นแดงหรือน้ำตาลแดง ขนาดเล็ก ไม่คัน อาจปรากฏทั่วร่างกาย รวมถึงฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของซิฟิลิสระยะที่ 2
◼︎ หูดแบน (Condyloma Lata) : เป็นก้อนนูนแบน สีเทาหรือขาวอมชมพู พบได้ในบริเวณที่อับชื้น เช่น อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือซอกขาหนีบ มีเชื้ออยู่มากและติดต่อได้ง่าย
◼︎ อาการอื่นๆ : ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ แผลในปาก หรือน้ำหนักลด
◼︎ ข้อสังเกต : อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 2-6 สัปดาห์ (หรือนานกว่านั้น) แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย และโรคจะเข้าสู่ระยะแฝง
ซิฟิลิสระยะแฝง (Latent Syphilis)
◼︎ อาการ : เป็นระยะที่ไม่มีอาการปรากฏให้เห็นเลย แต่อาจตรวจพบเชื้อได้จากการตรวจเลือด
แบ่งเป็น : ระยะแฝงต้น (Early Latent) ไม่เกิน 1 ปีหลังติดเชื้อ และระยะแฝงปลาย (Late Latent) นานกว่า 1 ปี
◼︎ ความสำคัญ : ในระยะนี้ ผู้ป่วยยังสามารถแพร่เชื้อได้ โดยเฉพาะในระยะแฝงต้น และเชื้อสามารถแพร่จากแม่สู่ลูกได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักถูกวินิจฉัยในระยะนี้จากการตรวจเลือดเพื่อการบริจาคโลหิต การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน หรือการตรวจคัดกรองในหญิงตั้งครรภ์
ซิฟิลิสระยะที่ 3 (Tertiary Syphilis)
◼︎ อาการ : หากไม่ได้รับการรักษา โรคจะดำเนินเข้าสู่ระยะสุดท้าย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลายปีหรือหลายสิบปีหลังติดเชื้อ และมีผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญทั่วร่างกาย
◼︎ ซิฟิลิสระบบประสาท (Neurosyphilis) : เชื้อเข้าสู่สมองและไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท เช่น อัมพาต ปวดศีรษะรุนแรง ตาพร่ามัว การได้ยินผิดปกติ ปัญหาความจำ บุคลิกภาพเปลี่ยนไป หรือสมองเสื่อม
◼︎ ซิฟิลิสหลอดเลือดและหัวใจ (Cardiovascular Syphilis) : เชื้อทำลายหลอดเลือดแดงใหญ่ ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงโป่งพอง หรือลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว
◼︎ กัมม่า (Gummas) : เป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ อาจพบได้ที่ผิวหนัง กระดูก หรืออวัยวะภายใน ซึ่งเกิดจากการอักเสบเรื้อรัง
การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส
การวินิจฉัยซิฟิลิสทำได้โดย
1. การตรวจเลือด : เป็นวิธีที่นิยมที่สุดและแม่นยำ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักคือ
- ▶︎ การตรวจคัดกรอง (Nontreponemal tests): เช่น VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) หรือ RPR (Rapid Plasma Reagin) ใช้เพื่อคัดกรองเบื้องต้น หากผลบวกจะต้องตรวจยืนยัน
- ▶︎ การตรวจยืนยัน (Treponemal tests): เช่น TPHA (Treponema Pallidum Hemagglutination Assay) หรือ FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption) ใช้เพื่อยืนยันการติดเชื้อ
2. การตรวจหาเชื้อโดยตรง : เช่น การนำตัวอย่างจากแผลริมแข็งไปส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิด Dark-field (มักใช้ในระยะที่ 1)
การรักษาโรคซิฟิลิส
ข่าวดีคือ ซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) ซึ่งถือเป็นยามาตรฐานในการรักษา
- ▶︎ ซิฟิลิสระยะที่ 1 และ 2 : รักษาด้วยยาเพนิซิลลิน จี เบนซาธิน (Benzathine Penicillin G) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียง 1 ครั้ง
- ▶︎ ซิฟิลิสระยะแฝง : จำนวนครั้งของการฉีดยาจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการติดเชื้อ และดุลยพินิจของแพทย์
- ▶︎ ซิฟิลิสระยะที่ 3 และซิฟิลิสระบบประสาท : ต้องใช้ยาเพนิซิลลินในรูปแบบที่รุนแรงและฉีดเข้าหลอดเลือดดำหลายครั้ง หรือเป็นระยะเวลานานขึ้น
- ▶︎ การรักษาอื่นๆ : สำหรับผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะชนิดอื่น เช่น ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) หรือ เตตราไซคลิน (Tetracycline)
สิ่งสำคัญหลังการรักษา : ผู้ป่วยควรกลับมาตรวจเลือดซ้ำตามนัดของแพทย์ เพื่อติดตามผลการรักษาและให้แน่ใจว่าเชื้อถูกกำจัดหมดแล้ว
การป้องกันโรคซิฟิลิส
การป้องกันซิฟิลิสทำได้เช่นเดียวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
1. มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย : ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ (ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก)
2. ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ : โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือมีคู่นอนหลายคน
3. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีแผลหรืออาการ : หากสงสัยว่าตนเองหรือคู่นอนมีแผล ผื่น หรืออาการผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศหรือรอบทวารหนัก ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์และรีบไปพบแพทย์
4. สื่อสารกับคู่นอน : พูดคุยและเปิดเผยประวัติสุขภาพทางเพศกับคู่นอนอย่างซื่อสัตย์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
5. รักษาคู่นอนไปพร้อมกัน : หากตรวจพบว่าเป็นซิฟิลิส ควรแจ้งให้คู่นอนของคุณเข้ารับการตรวจและรักษาไปพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำและการแพร่ระบาด
ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรงหากปล่อยทิ้งไว้ แต่ก็เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซิฟิลิส การตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกัน และการเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ คือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพทางเพศของตนเองและสังคมให้ปลอดภัยจากภัยเงียบนี้
หากคุณสงสัยว่าตนเองหรือคนที่คุณรักอาจติดเชื้อซิฟิลิส อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
สำหรับผู้ที่สนใจ ตัวช่วยรักษาภาวะการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://sidegrathai.com/
Line@ : @sidegrath